โบท็อกเป็นหนึ่งในหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื่องจากมีจุดเด่นที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างมากมายหลายอย่าง เช่น การช่วยลดริ้วรอย ร่องลึก ปรับกรอบหน้าเรียววีเชฟมากยิ่งขึ้น ซึ่งในบทความนี้หมอเลยจะมาพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการฉีดโบท็อกให้เพิ่มมากขึ้นว่าคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาผิวเรื่องไหนได้บ้าง และมีข้อควรรู้ก่อนทำในเรื่องอะไรบ้าง
โบท็อก คืออะไร

โบท็อก (botox) คือ วิธีการปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย ร่องลึกด้วยการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) ที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ในการทำให้กล้ามเนื้อในชั้นผิวเกิดการคลายตัวหรือเกิดอาการอัมพาตขึ้นชั่วคราวจนส่งผลทำให้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ปรับผิวให้มีความกระชับและปรับรูปหน้าให้เรียวเข้ารูปมากยิ่งขึ้น
เกร็ดความรู้ “สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) ของโบท็อกนั้นจะจัดเป็นกลุ่ม type A ที่มีจุดเริ่มต้นในการใช้ในวงการแพทย์ที่เอามาช่วยในการรักษาโรคตาเหล่หรือโรคตาเขในเด็กมาก่อนและหลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาตัวยาเพื่อเอามาใช้ในวงการความงามนั่นเอง”
กระบวนการทำงานของตัวยาโบท็อกเป็นอย่างไร
หลังจากที่ฉีดตัวยาโบท็อกเข้าไปแล้วตัวยาจะเข้าไปทำการจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาทส่วนที่ทำการสั่งและควบคุมกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นไม่สามารถทำการหดตัวได้ จึงทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัวจึงทำให้ผิวหนังด้านบนเกิดความเรียบเนียนขึ้น พวกริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ จึงจางหายไปนั่นเอง
การฉีดโบท็อกซ์ อันตรายหรือไม่

การฉีดโบท็อกซ์นั้นไม่ต้องกังวลเรื่องความอันตรายเลยเนื่องจากว่าตัวสารโบทูลินั่ม ท็อกซินนั้นได้ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากอย. ของหลาย ๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นโบท็อกหลาย ๆ ยี่ห้อยังมีรายงานการวิจัยเข้ามารองรับหลายฉบับอีกด้วย
สำรวจจุดฉีดโบท็อกและประโยชน์ของแต่ละตำแหน่ง

แน่นอนว่าการฉีดโบท็อกนั้นสามารถใช้ฉีดได้หลายจุดหลายตำแหน่งด้วยกัน ซึ่งแต่ละตำแหน่งต่างก็จะสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายด้วยกัน ดังนี้
- หน้าผาก : โบท็อกหน้าผากจะเน้นในเรื่องของการช่วยลดริ้วรอย ร่องลึกแก้ปัญหารอยย่นบริเวณหน้าผากรวมไปถึงระหว่างคิ้ว พร้อมปรับผิวส่วนนั้นให้มีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
- หางตา : โบท็อกหางตาจะช่วยแก้ปัญหาหางตาตก คิ้วตก แก้ริ้วรอยหางตา รวมไปถึงรอยตีนกาให้จางลง
- จมูก : การฉีดโบท็อกจมูกนั้นจะฉีดเพื่อช่วย 2 เรื่องหลัก ๆ นั้นก็คือฉีดส่วนแกนจมูกเพื่อให้ส่วนรัดแกนจมูกคมชั้นมากยิ่งขึ้น และฉีดส่วนปีกจมูกเพื่อลดขนาดปีกจมูกให้เล็กลง
- หน้าแก้ม : โบท็อกหน้าแก้มเพื่อช่วยปรับรูขุมขนให้กระชับ ปรับผิวหน้าแก้มให้มีความเรียบเนียน
- โหนกแก้ม : โบท็อกโหนกแก้มจะช่วยลดของกล้ามเนื้อโหนกแก้มให้หดตัวลง ส่งผลทำให้ขนาดโหนกแก้มให้เล็กลงเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการให้เห็นโหนกแก้มแบบชัด
- กรอบหน้า : โบท็อกกรอบหน้าหรืออีกหนึ่งชื่อเรียกคือโบท็อกลิฟกรอบหน้า ที่จะช่วยปรับยกกระชับผิวส่วนกรอบหน้าให้กระชับขึ้น ให้กรอบหน้าคมชัดหน้าเรียวเข้ารูปมากยิ่งขึ้น
- กราม : การฉีดโบท็อกกรามจะช่วยปรับลดขนาดกล้ามเนื้อกรามให้เรียวเล็กขึ้น ปรับรูปหน้าให้มีความวีเชฟมากยิ่งขึ้น
- คอ : โบท็อกคอคือวิธีการช่วยลดริ้วรอย ร่องลึกและปรับผิวส่วนคอให้มีความเรียบเนียนทำให้มีคอสวยระหง
- รักแร้ : การฉีดโบท็อกรักแร้จะเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาเหงื่อออกรักแร้เยอะ แก้ปัญหารักแร้เปียกได้เป็นอย่างดี
- ไหล่ : โบท็อกไหล่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี
- ต้นแขน น่อง : โบท็อกต้นแขนหรือโบท็อกน่องเป็นอีกหนึ่งวิธีการใช้ลดสัดส่วนบริเวณต้นแขนและน่องให้เรียวเล็กขึ้น เหมาะกับคนมีต้นแขนใหญ่ น่องใหญ่เพราะกล้ามเนื้อ
ฉีดโบท็อกดีไหม มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง

ข้อดีโบท็อก
- ช่วยปรับรูปหน้าและสัดส่วนตามตำแหน่งต่าง ๆ ให้มีความเรียวเล็กขึ้นได้
- ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ปรับผิวให้เรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
- สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
- มีความปลอดภัยเนื่องจากโบท็อกแต่ละยี่ห้อได้ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากอย.เรียบร้อยแล้ว
- มีหลายยี่ห้อให้เลือก แต่ละยี่ห้อก็จะมีราคาค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
ข้อเสียโบท็อก
- ไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างทันที โดยจะเริ่มเห็นผลหลังทำไปแล้วประมาณ 1 เดือน
- ไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้แบบถาวร โดยจะมีระยะเวลาได้ไม่กี่เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกฉีด
- หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์อาจทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์
- ปัจจุบันมีโบท็อกของปลอมระบาดอย่างหนักทำให้ก่อนฉีดต้องตรวจสอบให้ดีก่อนทุกครั้ง
ฉีดโบท็อกซ์เหมาะกับใครบ้าง

- ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย ร่องลึก
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า ต้องการกรอบหน้าที่คมชัด ปรับรูปหน้าวีเชฟ
- ผู้ที่ต้องการปรับผิวหน้าให้อ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีกรามใหญ่ อยากลดขนาดกราม
- ผู้ที่ต้องการลดขนาดปีกจมูกให้เล็กลง
- ผู้ที่ต้องการลดเหงื่อที่รักแร้
- ผู้ที่ต้องการลดต้นแขน ลดน่อง
โบท็อกซ์กี่วันถึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์
การเห็นผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์นั้นจะมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด ซึ่งระยะเวลาการเห็นผลแต่ละจุดจะมีดังนี้
- โบท็อกซ์ลดริ้วรอย ร่องลึก : จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-4 วันและจะเห็นผลชัดเจนที่สุดหลังฉีดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์
- โบท็อกซ์ลดกราม : จะเริ่มเห็นผลภายใน 14 วันและจะเห็นผลชัดเจนที่สุดหลังฉีดไปแล้วประมาณ 2-3 เดือน
- โบท็อกซ์ลิฟท์กรอบหน้า : จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-4 วันและจะเห็นผลชัดเจนที่สุดหลังฉีดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์
ฉีดโบท็อกซ์แต่ละตำแหน่งใช้ปริมาณเท่าไหร่
การฉีดโบท็อกซ์แต่ละตำแหน่งนั้นจะมีการใช้ปริมาณจำนวนยูนิตที่แตกต่างกันออกไป และทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิมของคนไข้ด้วยว่ามีปัญหามากน้อยเพียงใด ดังนั้นก่อนฉีดจึงควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินจำนวนยูนิตที่จะต้องใช้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วแต่ละตำแหน่งจะมีการใช้ปริมาณตัวยาโดยประมาณดังนี้
- โบท็อกหน้าผาก ประมาณ 30 ยูนิต
- โบท็อกหางตา ประมาณ 25 ยูนิต
- โบท็อกระหว่างคิ้ว ประมาณ 25 ยูนิต
- โบท็อกริ้วรอยทั่วใบหน้า ประมาณ 50-100 ยูนิต
- โบท็อกปีกจมูกหรือสันจมูก ประมาณ 25 ยูนิต
- โบท็อกลิฟท์กรอบหน้า ประมาณ 30-50 ยูนิต
- โบท็อกลดกล้ามแขน ประมาณ 200 ยูนิต
- โบท็อกรักแร้ ประมาณ 50-100 ยูนิต
- โบท็อกน่อง ประมาณ 200 ยูนิต
ข้อปฏิบัติตัวที่ควรรู้ก่อนและหลังฉีดโบท็อก
แน่นอนว่าการจะฉีดโบท็อกนั้นควรจะต้องทำการศึกษาข้อมูลรายละเอียดของหัตถการให้ถี่ถ้วนโดยเฉพาะในเรื่องของการเตรียมตัว และการดูแลตัวเองหลังทำให้ดีก่อนตัดสินใจทำทุกครั้ง
เตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีดโบท็อกซ์
- ศึกษาข้อมูลหัตถการ รวมไปถึงคลินิกที่จะเข้ารับบริการและแพทย์ผู้ทำการรักษา
- งดการทานยาหรืออาหารเสริมกลุ่มที่จะส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน พอนสแตน์ และกลุ่ม NSAIDs เป็นต้น อย่างน้อย 7-14 วันก่อนทำ
- งดการแว็กซ์ผิว หรือขัด สครับผิวก่อนทำอย่างน้อย 2-3 วันเพื่อป้องกันการระคายเคืองผิวและลดอาการช้ำหลังทำ
ขั้นตอนในการฉีดโบท็อก
- เข้าปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา
- หากมีโรคประจำตัวหรือทานยารักษาโรคอยู่ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนทำ
- เริ่มทำความสะอาดผิวในตำแหน่งที่จะฉีดโบท็อก
- ทายาชาหรือใช้การประคบเย็น
- เริ่มฉีดโบท็อกตามแผนการรักษา
- เช็ดทำความสะอาดผิวและฟังคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังทำ
การดูแลตัวเองหลังการฉีดโบท็อกซ์
- หลังฉีดแนะนำให้มีการขยับใบหน้าหรือกล้ามเนื้อส่วนที่ฉีดประมาณ 1-2 ครั้งเพื่อให้ตัวยากระจายตัวได้ดี
- งดการนอนราบหรือนอนให้ศีรษะต่ำกว่าหน้าอกอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
- เลี่ยงความร้อนหรือกิจกรรมที่จะทำให้เลือดสูบฉีดอย่างน้อย 2 วัน
- งดการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 วัน
- งดการทานอาหารรสจัด อาหารหมักดอง อาหารทะเลอย่างน้อย 2-3 วัน
- งดการทำทรีตเมนต์ที่ต้องใช้ความร้อน เช่น เลเซอร์หรือเครื่องยกกระชับผิวอย่างน้อย 1 เดือน
ใครบ้างที่ไม่ควรฉีด Botox
- กลุ่มสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
- กลุ่มคนที่มีปัญหาเลือดหยุดไหลยาก
- กลุ่มคนที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง
- กลุ่มคนที่มีประวัติแพ้ง่าย
ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์มีอะไรบ้าง
หลังจากที่ฉีดโบท็อกไปแล้วมักจะมีอาการผลข้างเคียงเกิดขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นอาการบวมและมีอาการปวดร่วมด้วยเล็กน้อยซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ไม่ได้มีความอันตรายใด ๆ โดยสามารถใช้การประคบเย็นร่วมกับการทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว และอาการบวมจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 7-14 วัน
ฉีดโบท็อก ที่ไหนดี เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย
สำหรับการเลือกคลินิกที่จะเข้ารับบริการฉีดโบท็อกนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง โดยควรจะเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย โดยจะมีกฎเกณฑ์การพิจารณาดังนี้
- คลินิกเปิดให้บริการอย่างถูกต้องตามกฎของกระทรวงสาธารณสุข โดยจะมีเลขใบอนุญาตการเปิดกิจการ 11 หลักติดโชว์หน้าที่คลินิกหรือในจุดที่สามารถมองเห็นได้ชัด
- คลินิกจะต้องให้แพทย์เป็นผู้ทำหัตถการให้เท่านั้น โดยเฉพาะหัตถการที่จะต้องมีการฉีด
- คลินิกมีที่ตั้งชัดเจน มีช่องทางการติดต่อที่สะดวกจะไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์หรือทางโซเชียลมีเดีย
- คลินิกมีบรรยากาศที่สะอาดสะอ้าน มีห้องสำหรับทำหัตถการที่ชัดเจนแยกเป็นสัดส่วน
- คลินิกมีรีวิวจากกลุ่มลูกค้าจริงที่น่าเชื่อถือได้
ราคาค่าฉีดโบท็อกซ์ราคาเท่าไหร่?
สำหรับราคาค่าฉีดโบท็อกของแต่ละคลินิกนั้นจะมีราคาโปรโมชั่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสำหรับราคาโปรโมชั่นของกังนัมคลินิกจะมีราคาดังนี้
- Allergen 100 unit 18,000 บาท
- Dysport 120 unit 15,696 บาท
- Xeomin 100 unit 12,323 บาท
- Nabota 100 unit 5,966 บาท
- Aestox 50 unit 3,696 บาท
รีวิวฉีดโบท็อก
รวมรีวิวฉีดโบท็อกจากคนไข้จริง ของกังนัมคลินิก
คำถาามที่พบบ่อย
ฉีดโบท็อกเจ็บไหม
ในระหว่างขั้นตอนการฉีดคนไข้อาจจะรู้สึกเจ็บได้เล็กน้อยในช่วงที่เริ่มลงเข็ม ซึ่งเป็นความเจ็บในระดับที่สามารถทนได้ โดยก่อนฉีดจะมีการใช้การประคบเย็นเพื่อทำให้ผิวชาก่อนเริ่มฉีดอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้หากคนไข้กลัวเจ็บมาก ๆ ก็สามารถขอใช้บริการแปะยาชาได้
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว ดื่มเหล้าได้หรือไม่?
ในช่วง 3-4 วันแรกหลังฉีดไม่แนะนำให้ดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากว่าจะดื่มแอลกอฮอล์จะไปทำให้เส้นเลือดใต้ผิวเกิดการขยายตัวส่งผลไปรบกวนการกระจายตัวยาหลังฉีดโบท็อกทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจนตรงตามแผนการรักษา
ภาวะดื้อโบท็อกซ์เกิดจากอะไร? แก้อย่างไรดี?
ภาวะดื้อโบท็อกซ์นั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การฉีดโบท็อกซ์บ่อยหรือถี่จนเกินไป การฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่มากจนเกินไปในแต่ละครั้ง หรือแม้แต่การเปลี่ยนยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ใช้ฉีดบ่อย ๆ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาภาวะดื้อโบท็อกซ์ได้ แต่การรักษาจะเป็นการเว้นระยะห่างการฉีดโบท็อกซ์ออกไป 3-5 ปี (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) แล้วค่อยกลับมาฉีดใหม่อีกครั้ง
ฉีดโบท็อกซ์สามารถทำร่วมกับหัตถการไหนได้บ้าง?
การฉีดโบท็อกซ์นั้นสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้หลายอย่างด้วยกัน เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดเมโสแฟต หรือการฉีดเมโสหน้าใส ซึ่งหัตถการกลุ่มนี้จะสามารถทำพร้อมกันได้เลยเนื่องจากจะเป็นการฉีดตัวยาเข้าคนละชั้นผิว นอกจากนั้นยังสามารถทำร่วมกับกลุ่มเลเซอร์หรือเครื่องยกกระชับผิว เช่น Hifu, Thermage, Ulthera ได้อีกเช่นกันแต่ควรทำหัตถการเครื่องก่อนแล้วค่อยฉีดโบท็อกซ์ภายหลัง
ฉีดโบท็อกซ์มาแล้วไม่เห็นผลเป็นเพราะอะไรได้บ้าง ?
การฉีดโบท็อกซ์แล้วไม่เห็นผลลัพธ์นั้นสามารถเกิดขึ้นได้จาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้
- การฉีดโดยโบท็อกซ์ของปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน
- การฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ฉีดผิดตำแหน่ง
- อาการดื้อโบท็อกซ์จนทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์
Botox ควรฉีดทุกกี่เดือน
ระยะห่างในการฉีดโบท็อกแต่ละครั้งนั้นจะอยู่ประมาณ 3 เดือนแต่ไม่ควรเว้นระยะห่างนานเกิน 5-6 เดือนเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ตามปกติส่งผลทำให้ฉีดครั้งต่อไปต้องเพิ่มจำนวนยูนิตยาให้มากขึ้น
Botox เปิดแล้วอยู่ได้กี่วัน
ระยะเวลาในการเปิดโบท็อกนั้นจะสามารถอยู่ได้ประมาณ 1-3 เดือน ซึ่งหากนานกว่านี้อาจทำให้ตัวยาไม่มีประสิทธิภาพ
ความอันตรายจากโบท็อกปลอม
การฉีดโบท็อกของปลอมหรือตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐานนั้นมีความอันตรายอยู่ค่อนข้างมากและส่งผลทำให้เกิดผลข้างเคียงได้หลายอย่าง เช่น
- กระตุ้นทำให้เกิดภาวะดื้อโบท็อก
- ทำให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองผิว
- ทำให้เกิดอาการหนังตาตก คิ้วตก ปากเบี้ยว
- ฉีดแล้วไม่เห็นผลลัพธ์ เสียเงินฟรี
อายุเท่าไหร่จึงควรฉีดโบท็อก?
การฉีดโบท็อกนั้นไม่ได้มีการกำหนดอายุโดยส่วนใหญ่จะสามารถฉีดได้ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เพื่อช่วยปรับรูปหน้า ลดเหงื่อหรือช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
ฉีดโบท็อกมาแล้วหน้าบวม เกิดจากอะไร?
อาการหน้าบวมหลังฉีดโบท็อกนั้นถือเป็นเรื่องปกติไม่ได้มีความอันตรายใด ๆ ซึ่งเป็นอาการที่ตัวยาทำปฏิกิริยาในร่างกาย ซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 7-14 วัน
ฉีดโบท็อกแล้วเป็นก้อนทำอย่างไรดี?
ในกรณีที่ฉีดโบท็อกแล้วพบว่ามีก้อนนั้นให้สังเกตว่าก้อนดังกล่าวมีลักษณะเช่นไร ซึ่งถ้าเป็นก้อนในตำแหน่งรอยเข็มในกรณีนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติโดยจะสามารถหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน แต่หากเวลาผ่านไปหลายวันแล้วแต่ยังเป็นก้อนแล้วมีอาการเจ็บร่วมด้วยสามารถสันนิษฐานได้ว่ามีอาการอักเสบเกิดขึ้นให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
ควรฉีดโบท็อกซ์ครั้งละกี่ยูนิต
ปริมาณยูนิตที่ควรใช้แต่ละครั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ต้องการฉีด รวมไปถึงสภาพปัญหาเดิมของคนไข้โดยคนไข้แต่ละคนอาจจะมีการใช้ปริมาณโบท็อกในการฉีดแต่ละครั้งที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรต้องเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินก่อนฉีดทุกครั้ง
สรุป
การฉีดโบท็อก (Botox) เป็นวิธีการช่วยลดริ้วรอย ร่องลึก ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวเข้ารูปและช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อตามตำแหน่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกราม แขน น่อง ซึ่งจะใช้วิธีการฉีดตัวสารโบทูลินั่ม ท็อกซินเข้าไปเพื่อไปทำงานในการรบกวนส่วนปลายของเซลล์ประสาทส่วนควบคุมกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวไม่สามารถหดตัวได้ กล้ามเนื้อจึงค่อยคลายตัวออกทำให้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกตามจุดต่าง ๆ เกิดการจางหายไป ซึ่งข้อดีของการฉีดโบท็อกคือสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำและมีความปลอดภัยอย่างมากอีกด้วย
สอบถามข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับหัตถการความงามเพิ่มเติมหรือติดต่อเพื่อสำรองคิวกับทางคลินิกสามารถติดต่อได้ที่กังนัมคลินิกทุกสาขาหรือทาง Line : @gangnamclinic